เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ มี.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมเนาะ เขาว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ”

เราต้องพูดก่อนว่าเราขอแสดงความเสียใจ เห็นใจ กับผู้ที่ประสบอุทกภัย แต่นี่เขาพูดถึงธรรมะไง ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ เวลาภัยพิบัติมันมานั่นธรรมชาติหรือเปล่า ถ้าธรรมชาติมันทำลายคนขนาดไหน

ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมะเป็นธรรมชาติ..

สภาวธรรมก็เหมือนกัน สภาวธรรมก็คือธรรมชาติ สภาวธรรมคืออารมณ์ความรู้สึก การเปลี่ยนแปลง นั่นคือสภาวธรรม แต่ธรรมะไม่ใช่สภาวะ ธรรมะจริงๆ เป็นธรรมะเพราะเป็นอกุปปธรรม มันเหนือไง ถ้าธรรมะมันเหนือโลก นี่โลกกับธรรม ธรรมมันเหนือโลก เหนือธรรมชาติ ถ้าเหนือธรรมชาติมันเหนืออย่างไร

ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ สภาวธรรมเป็นธรรมชาติ เด็กๆ เวลามันไม่พอใจมันดิ้นรนของมันนั่นก็สภาวธรรมนะ เวลามันดิ้นรนของมัน มันต่อต้านพ่อแม่มัน นั่นคืออะไร นั่นคือสภาวะอันหนึ่งเพราะมันโกรธ มันไม่พอใจ มันไม่ได้สมหวังมัน นั่นก็เป็นสภาวะ เวลาเป็นสมาธิก็เป็นสภาวะ เวลามันเกิดปัญญามันก็เป็นสภาวะ สภาวะนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอนัตตา

สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะที่เป็นอนัตตา สภาวะที่เป็นการเปลี่ยนแปลงนี้มันเป็นสภาวะ แต่ธรรมะไม่ใช่สภาวะ มันคงที่ของมัน เพราะมันเป็นกุปปธรรม อกุปปธรรม.. กุปปธรรมคือสภาวะ แต่อกุปปธรรม เห็นไหม ถ้าอกุปปธรรมถึงตอนนั้นมันถึงเป็นธรรมะจริง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนั้น

นี่เขาว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ”

เวลาคุยกันมันคุยกันได้สภาวะเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมชาติคือสภาวะที่มันเปลี่ยนแปลง ความเกิดก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความตายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง การเกิดการตายมันก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว มันก็เป็นธรรมะอยู่แล้ว แล้วอะไรที่มันเหนือการเกิดการตายล่ะ สิ่งที่เหนือการเกิดการตายมันมาจากไหน อะไรมันเหนือการเกิดการตายล่ะ มันเหนือการเกิดการตายเพราะมันทิ้งสัจธรรม ทิ้งธรรมชาติทั้งหมดเอาไว้ข้างหลังแล้วมันพ้นไปจากธรรมชาตินั้น มันพ้นจากวัฏฏะไง

กามภพ รูปภพ อรูปภพ.. มันเป็นผลของวัฏฏะ คือผลของการเกิดและการตาย แต่ผลของการเกิดและการตายมันเกิดมาจากไหนล่ะ มันเกิดมาจากการกระทำ นี่กรรมคือการกระทำ สภาวะก็เกิดเป็นการกระทำขึ้นมา ถ้าไม่มีการกระทำมันเกิดเป็นสภาวะได้อย่างไร

ดูสิ สึนามิมันเกิดเพราะอะไร? เพราะแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวมันเกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะพลังงานในแผ่นดิน พลังงานในแผ่นดินมันเกิดมาจากไหน? มันเกิดมาจากการสะสมของพลังงานของมันดันตัวของมันออกมา พอดันตัวออกมามันเกิดอะไรล่ะ มันเกิดอะไรขึ้นมา? นี่สภาวะไง

นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติไง ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติเวลาเกิดสึนามิก็ไปนั่งขวางไว้เลย เพราะว่าธรรมจะเข้ามาหาเราแล้ว จะมีธรรมะเข้าสู่ตัวเรา เราจะได้เป็นธรรม

วิ่งหนีทำไม วิ่งหนีธรรมะทำไม ทำไมถึงวิ่งหนีธรรมะล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเกิดปัญญาขึ้นมานี้เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร เกิดขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ ปัญญาที่เกิดขึ้นมาคือปัญญาที่เกิดจากกิเลส คือเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดจากเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าศีล สมาธิ ปัญญา.. ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาที่เกิดนั้นคือปัญญากิเลสทั้งหมด ปัญญากิเลสเกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากปฏิสนธิจิต เกิดจากฐานที่ตั้งนี้ด้วยการครอบงำของอวิชชา ทีนี้อวิชชาคือความไม่รู้ ไปตรึกในธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ตรึกด้วยความไม่รู้

ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่สุดยอดมาก แต่สภาวธรรมนั้นหลวงตาบอกว่า “ในพระไตรปิฎกนี้เป็นกิริยาของธรรม ไม่ใช่ตัวธรรม!” เป็นกิริยาของธรรม กิริยาเพราะอะไร? เพราะว่าใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วอธิบายออกมาเป็นกิริยา

คำว่ากิริยานี้ก็ต้องเคลื่อนเข้าไปสู่ใจ เพราะกิริยานี้เพื่อส่งเข้ามาสู่ใจ ธรรมะทุกข้อ ชี้เข้าไปสู่ใจผู้ประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้ชี้ออก ถ้าชี้ออกนี่มันชี้ออกเพราะอะไร? เพราะมันไม่เห็นใจของมัน พอไม่เห็นใจของมันมันก็ชี้ออก ถ้าชี้ออกนี่ตรึกไง ตรึกเอาวิเคราะห์วิจัยธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้วิเคราะห์วิจัยธรรมะของตัวเพราะอะไร? เพราะไม่มีสมาธิ ไม่มีสมาธิเพราะอะไร? เพราะใจมันไม่สงบ ถ้าใจมันสงบที่ตั้งมันอยู่ที่ไหน นี่ฐานที่ตั้งมันอยู่ที่ไหน?

นี่ไงสภาวะๆ สภาวะก็เป็นอย่างนี้ นี่คือสภาวะ แต่ความจริงไม่ใช่สภาวะ แต่ต้องอาศัยสภาวะเข้าไป.. อาศัยสภาวะแต่ไม่ใช่สภาวะ อาศัยสภาวะเพราะอะไร เพราะสมาธิเกิดจากอะไร อารมณ์เกิดจากอะไร ถ้าอารมณ์ฟุ้งซ่านเกิดจากจิต แล้วอารมณ์สงบแล้วไปสู่ที่ไหน? ก็ไปสู่จิต

แล้วจิตมันคืออะไร สมาธิที่มันตั้งมั่นเป็นอย่างไร เพราะไม่รู้จักสมาธิ ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเลยแล้วก็ศึกษากันไป ศึกษาธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติสึนามิก็วิ่งเข้าไปมันสิ แผ่นดินไหวบอก แหม.. ธรรมะมาแล้ว

นี่ด้วยความเสียใจ ไม่ได้พูดด้วยความสะใจนะ ด้วยความเสียใจกับผู้ที่ประสบอุทกภัย ไม่ใช่ด้วยความดีใจนะ ด้วยความเสียใจ แต่เพื่อเอามาเป็นคติ เอามาเป็นบททดสอบใจเรา ว่าสิ่งนั้นนี่ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติเกิดขึ้นมาแล้ว ธรรมชาติภัยพิบัติเกิดแล้ว เป็นธรรมไหม? เป็นธรรม.. เป็นธรรมเพราะอะไร? เพราะการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงแล้วมันได้สิ่งใดขึ้นมา? ได้ความเสียใจ ได้ความช่วยเหลือเจือจานกันด้วยน้ำใจ ด้วยการเจือจานกัน นี้ก็เป็นธรรมนะ แต่ธรรมมันมีหยาบมีละเอียดขึ้นไป ความหยาบๆ ของมัน เราศึกษาขึ้นมาเราก็สะเทือนใจแล้วเพื่อยับยั้งใจของเรา

ฉะนั้นในปัจจุบันนี้ เมื่อก่อนถ้าไม่เชื่อ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่เป็นหลักเป็นชัยขึ้นมาเราก็ไม่เชื่อว่านิพพานมันจะมีอยู่จริง นี่มันหมดกาล หมดสมัย หมดทุกอย่าง

มันหมดไปไม่ได้หรอก เพราะมันมาจากจิตไง มันมีการเกิดและการตาย มีทุกข์อยู่ นิพพานไม่มีจบหรอก เพราะอะไร เพราะนิพพานก็แก้ตรงนั้นล่ะ ในเมื่อมีเหตุ ผลมันก็ต้องมี ในเมื่อมีจิต ธรรมะก็ต้องมี นี่มันมีของมันอยู่แล้ว เพียงแต่พวกเราไม่มีความสามารถ บารมีธรรมมันไม่พอ พอบารมีธรรมไม่พอมันก็หลักลอย พอหลักลอยมันก็เคลื่อนไปตามกิเลสของตัวเอง

แม้แต่ทั้งๆ ที่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เห็นไหม นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี ๕,๐๐๐ ปี ต่อไปนี่ธรรมะไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่คนมันไม่เชื่อของมันเอง พอไม่เชื่อก็ตะครุบเงากัน ตะครุบแต่อาการของใจ สภาวะๆ นั่นแหละ สภาวธรรมเป็นอย่างนั้นๆ สภาวะเป็นอย่างนั้นสภาวะอะไรของมัน

พูดถึงถ้าเป็นจริงขึ้นมา.. การกระทำของเรา ดูสิ เราเป็นนักปฏิบัตินะ เวลาเราทำใจให้สงบนี่เราใช้เวลาเท่าไหร่ เราจะบังคับตัวเราเองขนาดไหนกว่าจิตเราจะสงบซักทีหนึ่ง แล้วสภาวะมันจะเกิดทุกวินาทีเชียว มันเป็นไปไม่ได้หรอก! แต่เวลาคนมันเป็นแล้วสิ ดูหลวงตาท่านบอก “เวลาปัญญามันหมุนนะ เวลาปัญญามันถึงที่สุดของมัน มันหมุนของมันนี่รั้งไว้ไม่อยู่เลย” เวลาที่ภาวนาไม่เป็น ภาวนายังไม่ถึงที่สุดละล้าละลังนะ เริ่มต้นขยับผิดไปทุกเรื่องเลย

พยายามทำของเรา ศึกษาของเรา แก้ไขของเรา ดัดแปลงของเรา แต่พอมันจุดติดนะ หลวงตาท่านบอกว่า “ถ้ามีเชื้ออยู่ที่ไหน ถ้าไฟมันติดแล้วมันจะไหม้ไปเรื่อยๆ ไหม้จนกว่าเชื้อนั้นจะหมด” นี่พอปัญญา เห็นไหม พอมรรคญาณมันเกิดขึ้นมามันเริ่มเผาอวิชชาขึ้นไป ทีนี้เอาไม่อยู่แล้วนะ มันหมุนไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา.. ปัญญาที่เกิดจากสมาธิมันมีกำลังของมัน มันทำแล้วมันได้ผลของมันนะ มันเหมือนกับคนทำงานแล้วประสบความสำเร็จ โอ้โฮ.. มันอยากทำ อยากเป็น มันหมุนของมัน แล้วมันมีแรงส่งของมัน เพราะมันเป็นความจริงของมัน

นี่ไงพอมันเป็นความจริงของมัน นี่โลกุตตรธรรม นี่ปัญญาเกิดจากมรรคญาณ ปัญญาเกิดจากจิต ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากการจดจำ ปัญญาเกิดจากการใคร่ครวญ แต่มันก็เกิดจากการใคร่ครวญขึ้นไปก่อน ใคร่ครวญขึ้นไปก่อน ใคร่ครวญจนจิตมันสงบ

การใคร่ครวญทั้งหมด วิธีปฏิบัติทุกวิธีการทั้งหมด ผลของมันคือสมถะ ผลของมันคือความสงบของใจ แต่เราไม่รู้จักผลของมันใช่ไหม เราก็บอกว่านี่นิพพานๆ กัน นี้เป็นธรรมๆ กัน แล้วก็เสื่อมหมด พอเสื่อมหมดแล้วก็เสียใจ เพราะอะไร เพราะพอเสื่อมนั้นไปแล้วแล้วมันเหลือสิ่งใด เหลือแต่สัญญาไง เหลือแต่ความจำอันนั้นได้ เคยจำสิ่งนี้ได้ก็ว่าเคยเป็นอย่างนั้นๆ แต่ไม่เป็น เพราะอะไร ไม่เป็นเพราะมันแสดงออกตามความเป็นจริงของมัน

แต่ถ้ามันเป็นความจริงของมันนะ มันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ คนที่ปฏิบัติแล้วทุกคนต้องผ่านวิกฤติอันนี้หมด คือไม่มีใครปฏิบัติแล้วไปได้ เว้นไว้แต่อันเดียวเท่านั้น ขิปปาภิญญาที่ปฏิบัติเร็วรู้เร็วนี่มีอันเดียว นอกนั้นจะเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม..

คำว่าเจริญแล้วเสื่อม เหมือนกับการทำงานมันต้องมีความผิดพลาด มันต้องมีอุปสรรค มันต้องมีทุกอย่างขวางหน้าหมดเลย เพราะอะไร เพราะเวลาการเกิดการตายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “จิตๆ หนึ่ง ถ้าเวลาการเกิดการตายแต่ละชาติหนึ่ง ศพของคนๆ นั้นเอามาสะสมไว้นี่ วัตถุนั้นมากกว่าโลกนี้อีก”

เพราะมันเกิดตายมามหาศาลขนาดนั้น เพราะจิตมันเคยสะสมมาขนาดนั้น นี่พันธุกรรมทางจิตมันสะสมมาขนาดนั้น แล้วเวลาชำระล้างให้มันง่ายๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ทั้งๆ ที่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละ ทั้งๆ ที่รู้นี่แหละ แต่มันเป็นไปโดยยาก

ดูสิ ในอภิธรรมเขาบอกว่าพระอรหันต์ต้องประพฤติปฏิบัติมา บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่มันหมุนของมันมา สิ่งนี้มันเป็นของมันมา เห็นไหม แล้วจะชำระกันง่ายๆ

คำว่าง่ายๆ มันมีของมันนะ มันมีอำนาจวาสนาบารมีของมัน ถ้ามันมีของมันขึ้นมามันทำของมันขึ้นมาได้ นี่มันถึงจะเหนือธรรมชาติ เราก็เกิดจากธรรมชาติ ดอกบัวเกิดจากโคลนตน ธัญญาหารทั้งหมดเกิดจากดิน เพราะมีสารอาหารต่างๆ มันก็เจริญงอกงามขึ้นมา จิตใจของเรานี่มันก็เกิดจากกิเลสนี่แหละ เกิดจากสิ่งนี้เพราะมันเป็นกุศล อกุศล ถ้าเป็นกุศลมันก็กิเลสนั่นล่ะแต่เป็นกิเลสฝ่ายดี กิเลสฝ่ายชั่วก็เป็นอกุศล

ความอยาก เห็นไหม ความอยากคือตัณหาความทะยานอยาก แต่ฉันทะล่ะ ฉันทะคือความอยากหรือเปล่า ความพอใจมันเป็นความอยากหรือเปล่า นี่มันต้องมีพื้นฐานของมันแต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะรองรับ ต้องไม่มีตัณหาความทะยานอยาก ไม่มีอะไรแล้วมาปฏิบัติ ก็ขอนไม้ไง.. นี่ก็ธรรมชาติไง มันก็ล่องลอยไปตามวัฏฏะนั่นล่ะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงมันต้องเริ่มต้น

ดอกบัวเกิดจากโคลนตม เราปฏิบัติขึ้นมามันก็ปฏิบัติขึ้นมาจากกิเลสนี่แหละ เพราะเรามีกิเลส แต่มันมีความดีความหวังดี ดูสิ เวลาไปวัดไปวาเขาบอก “ติดดี ติดดี” อ้าว.. ก็ติดดีก็จะติดน่ะทำไม ติดดีดีกว่าติดชั่ว ติดดีก็อาศัยความดีนี้ไป แต่ความดีอันนี้มันจะแก้ไขเราขึ้นมา

นี่จะบอกว่าถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาตินี่ เราบอกกันแค่ครึ่งทางไง เวลาเราจะเดินทางเราต้องเดินถึงปลายทาง ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติก็ครึ่งทาง ครึ่งทางเพราะการเกิดและการตาย สัจธรรมนี้มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ผลของมันมันต้องผ่านอันนี้ไปมันถึงจะถึงปลายทางอันนู้น ถ้าเราบอกว่าเราไปเดินครึ่งทางว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ การเกิดการตาย บวชนี้ก็เป็นธรรมชาติ นี่บวชแล้วนี่ได้อะไรล่ะ บวชแล้วถ้าไม่ปฏิบัติ

นี่ก็เหมือนกัน เกิดมาแล้วในพุทธศาสนา แล้วทำสิ่งใดต่อไปล่ะ.. ธรรมชาตินี่เป็นครึ่งทางอันหนึ่งของชีวิต แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วมันจะพ้นจากธรรมชาติไปทั้งหมด แล้วจะรู้ว่าธรรมชาติเป็นอย่างไร เหมือนกับตัวดักแด้เลย เวลามันจะเป็นผีเสื้อมันต้องลอกคราบมันออกมา นี่ก็เหมือนกัน เวลามันจะลอกคราบจากธรรมชาติออกมา มันจะลอกคราบจนถึงที่สุดของมัน จิตใจมันจะเป็นอย่างใด มันจะมีเหตุมีผลของมัน แล้วจะรู้ตามความเป็นจริงของมันนะ

นี่เวลาเห็นแล้วมันสลดใจไง สิ่งต่างๆ มันพิสูจน์ได้ มันเทียบเคียงได้กับอารมณ์ความรู้สึก กับภัยพิบัติที่มันเกิดขึ้น ว่าเป็นธรรมชาติๆ ก็เห็นๆ กันอยู่นี่แหละ แล้วถ้ามันพ้นไปมันเป็นอย่างใด ถ้าพ้นไปมันถึงเป็นความจริงขึ้นมานะ นี้คือสัจธรรม นี้คือความจริง แล้วเราต้องพิสูจน์ขึ้นมาในหัวใจเรานี่แหละ อย่าเชื่อ! เราพูดนี่ก็อย่าเชื่อ กาลามสูตร พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่ออะไรทั้งสิ้น ให้เชื่อประสบการณ์ของตัว ให้เชื่อการปฏิบัติ ไม่ให้เชื่ออะไรเลย แล้วเราปฏิบัติของเราขึ้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมา

เวลาไม่เชื่อนะ เวลาครูบาอาจารย์เราไม่มีหลักมีเกณฑ์ก็ไม่เชื่อกันว่ามีมรรคมีผลนะ เวลาเชื่อขึ้นมาก็เชื่อกันจนงมงาย เชื่อกันไปกันตามประสาเขาหมด แต่ไม่เชื่อถึงหัวใจของเรา ไม่เชื่อถึงหลักเกณฑ์ของเรา ไม่เชื่อถึงการแก้กิเลสของเรา ไม่เชื่อถึงชีวิตของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง